ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ชง83ท่อน้ำเลี้ยง ปลดล็อก ศอฉ.ยังคุมเข้มต่อ

ผวา'สิงหาเดือด' ปณิธานได้กลิ่นคาร์บอมบ์โผล่ 'ธาริต'โชว์จม.ขู่ ดีเอสไอชง ศอฉ.ปลดล็อก 83 ท่อน้ำเลี้ยง หลังการตรวจสอบเสร็จสิ้น แต่ยังให้สถาบัน การเงินจับตาการทำธุรกรรมการเงินต่อ ขณะที่ ศอฉ.ผวา "สิงหาเดือด" สั่งคุมเข้ม ครม. ถกเครียดข้อเสนอ คอป. สั่ง ศอฉ.ทำข้อมูลคนตายติดคุก นายกฯเครียดเหตุนักข่าวต่างชาติตายในเหตุการณ์ 10 เม.ย.- 19 พ.ค. โดนสื่อนอกเอาไปขยายผลโจมตีไทย เพื่อไทยต้านรัฐแจกวีซีดีสลายการชุมนุม "ธาริต" เปิดจดหมายขู่ฆ่า ยอมรับกังวลใจหลังโดนปองร้าย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประกบใกล้ชิดไม่ให้คลาดสายตา ในขณะที่คลื่นลมความรุนแรงของสถานการณ์ บ้านเมืองค่อยอ่อนกำลังลงจนเกือบจะเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ กลับมีกระแสข่าวว่าจะเกิดเหตุคาร์บอมบ์ในย่านธุรกิจสำคัญ ในกรุงเทพมหานครขึ้นมาอีก เหมือนกับเป็นการเย้ย พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ที่รัฐบาลยังไม่ยอมปลดล็อกในอีกหลายจังหวัด "สุเทพ" ตอกย้ำข่าวก่อบึมย่านธุรกิจ ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 08.50 น. วันที่ 3 ส.ค. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ ผอ.ศอฉ. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีข่าวว่า สำนักข่าวกรองแห่งชาติออกมาเตือนว่าจะมีเหตุคาร์บอมบ์ในย่านธุรกิจสำคัญเช่น ถนนสีลม และเยาวราช ประมาณต้นเดือน ส.ค.นี้ว่า ต้องไปถามรายละเอียดจากสำนักข่าวกรองว่าได้ข่าวมาอย่างไร แต่ได้สั่งการไปว่าทุกหน่วยงานที่ทำหน้าที่ด้านฝ่ายข่าว ต้องบูรณาการกำลังเพื่อติดตามดูว่ามีคนกลุ่มไหน ที่มีพฤติกรรมที่อาจจะเป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการก่อวินาศกรรมบ้าง จะได้หาทางสกัดกั้นยับยั้งป้องกันเหตุร้ายให้ทันเวลา กรณีที่เป็นข่าวขึ้นมานี้อาจจะเป็นไปตามสิ่งที่ได้สั่งการเอาไว้ก็ได้ ไม่รับลูกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่เชียงใหม่ เมื่อถามว่า ห่วงหรือไม่ เพราะการข่าวระบุว่าพื้นที่เป้าหมายที่จะก่อวินาศกรรมเป็นย่านธุรกิจสำคัญ หากเกิดเหตุขึ้นจริงจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ นายสุเทพตอบว่า รับฟังข่าวไว้ก็แล้วกันและก็ไม่ ประมาท แต่อย่าไปแตกตื่นให้มาก เรามีหน้าที่ที่จะต้องดูแลปกป้องบ้านเมือง ฝ่ายต่างๆจะต้องทำงานให้เข้มแข็งขึ้น เมื่อถามว่า ด้วยความที่ยังมีการเคลื่อนไหวอยู่อย่างนี้ เป็นเหตุให้ยังต้องคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินในกรุงเทพฯ และปริมณฑลต่อไปใช่หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า เรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉินเมื่อถึงเวลาจะชี้แจง วันนี้ยังไม่มีอะไรที่ต้องพิจารณา เรื่องยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เมื่อถามว่า แม่ทัพภาคที่ 3 ระบุว่า จ.เชียงใหม่ และเชียงราย สถานการณ์สงบเรียบร้อยพอที่จะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้แล้ว นายสุเทพตอบว่า เวลาที่มีรายงานเข้ามา ก็จะนำไปพิจารณาในที่ประชุมศอฉ. แต่ขณะนี้ยังไม่มีการเสนอมา เมิน ส.ว.ต้านแจกซีดี ศอฉ. ต่อข้อถามถึงกรณีที่คณะกรรมการติดตามสถานการณ์ บ้านเมือง วุฒิสภา ระบุว่า การแจกซีดีภาพเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองช่วง เม.ย.-พ.ค. ที่ผ่านมา เป็นข้อมูลฝ่ายเดียวและยิ่งสร้างความเกลียดชังต่อสังคม นายสุเทพกล่าวว่า เป็นเพียงความคิดเห็นของ ส.ว.บางคนเท่านั้น ในที่ประชุม ศอฉ.พิจารณาเรื่องนี้กันอย่างรอบคอบ ซีดีที่จัดทำขึ้นนี้ได้พิจารณาจากทุกส่วนราชการที่ร่วมเป็นกรรมการ ศอฉ. เห็นว่าเป็นซีดีที่สามารถนำไปเสนอกับประชาชน ที่ยังไม่ เข้าใจข้อเท็จจริง ให้ได้เข้าใจลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เพื่อป้องกันไม่ให้คนบางกลุ่มนำเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปบิดเบือนสร้างความเข้าใจผิด ทำให้เกิดความร้าวฉานในบ้านเมือง เมื่อถามว่า แสดงว่า ศอฉ.ยังจะคงดำเนินการแจกซีดีนี้ต่อไปใช่หรือไม่ นายสุเทพตอบว่า ถูกต้องครับ เมื่อถามว่า คิดว่าการแจกซีดีครั้งนี้จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นหรือยิ่งแย่ลง นายสุเทพกล่าวว่า เชื่อว่าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ผบ.ทบ.แนะเลิกใช้ความรุนแรง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ทางการเมืองหลังประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินบางจังหวัดว่า อยากให้สังคมเกิดความสงบเรียบร้อย ให้ เศรษฐกิจเดินไปได้ ไม่อยากให้มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่รัฐและผู้ชุมนุมมีบทเรียน 2 ปีที่ผ่านมาในเรื่องความรุนแรง ประชาชนคนไทยจะไม่รับ เราคงต้องเรียนรู้การแก้ไขปัญหาด้วยการไม่ใช้ความรุนแรง ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็น ผบ.ทบ.มา 3 ปีมีความเป็นห่วงสถานการณ์ บ้านเมืองอย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ตอบว่า คนไทยทุกคนเป็นห่วงเรื่องความแตกแยกทางความคิด ค่อนข้างไม่น่าจะอยู่ในขอบเขตความชอบส่วนบุคคล คนในโลกนี้เห็นแตกต่างชอบต่างกันได้ แต่ต้องอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ไม่มีข้อบาดหมาง หากพูดแล้วส่งผลกระทบต่อกันก็จะไม่พูด บางประเทศไม่พูดกันเรื่องการเมือง เพราะชอบกันคนละพรรค แต่กินข้าวด้วยกันได้ เมื่อถามว่าความแตกต่าง ทางความคิดของคนไทยจะสามารถกลับมาได้หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ต้องได้ ถ้าไม่ได้ก็แย่ สื่อมวลชนต้องช่วยกัน ถ้าเราทำอะไรที่ไม่สร้างสรรค์หรือไปตอกย้ำสิ่งที่แตกต่างกันอยู่ก็จะไม่ได้ ชี้เหตุบึมป่วนกรุงไม่ใช่ก่อการร้าย เมื่อถามว่าเหตุระเบิดใน กทม.ที่ผ่านมาเป็นกลุ่มก่อการร้ายเข้ามาสร้างสถานการณ์หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ ตอบว่า ไม่น่าจะเป็นกลุ่มก่อการร้าย แต่ไม่ขอฟันธงว่าเป็นกลุ่มไหนคนใด เพราะจะทำให้เกิดผลกระทบต่อสังคม ต้องให้เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนตามพยานหลักฐาน เมื่อถามว่า เจ้าหน้าที่สืบสวนโยงไปถึง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก พล.อ.อนุพงษ์ตอบว่า ไม่ขอกล่าวถึง เพราะอยู่ในขั้นการสอบสวน ไม่ทราบรายละเอียด หากพูดคงไม่เหมาะสม ชี้ขู่ฆ่า "ธาริต" แค่สร้างสถานการณ์ วันเดียวกัน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีข่าวนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถูกขู่ฆ่า ว่า ยังสงสัยว่าใครจะฆ่านายธาริต ถ้าฆ่าไปแล้วคดีความก็ยังอยู่ ตั้งคนอื่นขึ้นมาแทนได้ ข่าวนี้เป็นการสร้างสถานการณ์ เพราะมันไม่มีเหตุผล คนอย่างนายธาริตไม่มีราคาที่จะต้องไปฆ่าแกง ถึงฆ่านายธาริต หรือแม้แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ก็ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ถ้าจะฆ่าต้องฆ่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ถึงจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่การเมืองไทยไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น ที่มีข่าวนี้ออกมาอาจเป็นเพราะนายธาริตกำลังตรอมใจเรื่องเงิน 1.5 แสนบาท ของนายธีรชัย ธำรงพงศกร หรือ "เม้ง มังกรเหิรฟ้า" เพราะข้อปฏิเสธของคุณฟังไม่ขึ้น ลายมือของภรรยาคุณที่ให้ไว้มันละเอียดถี่ถ้วนมาก ก็คงอึดอัดใจ กรณีที่ไปฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย หากเบิกความเมื่อไร อาจจะเป็นการเบิกความเท็จทันที ตอนนี้เหมือนถอยไม่ได้ อยู่กับที่ก็ไม่ได้ เลยมีข่าวลอบฆ่าออกมา แฉมีคนปั๊มซีดีกล่าวหา "ทักษิณ" ร.ต.อ.เฉลิมยังกล่าวถึงกรณีที่ ศอฉ.ทำซีดีเหตุการณ์ สลายชุมนุมแจกประชาชนว่า ถือเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ ผู้ทำหน้าที่กับผู้ที่ถูกสลายชุมนุม มองต่างมุม ฉะนั้น ต่างคนก็มีสิทธิชี้แจง ประชาชนจะตัดสินเองว่าจะเชื่อใคร แต่คิดว่า ศอฉ.ช้าไปแล้ว เพราะเขาทำกันไปหมดแล้ว คนเชื่อไปแล้ว ถ้าทำออกมาก็เหมือนหาแต้มให้พรรคเพื่อไทย คนไม่เชื่อมันก็ไม่เชื่อไปแล้ว ความเชื่อเปลี่ยนไม่ได้ ทราบหรือไม่ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งทำซีดีกว่า 3 ล้านแผ่นกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ล้มสถาบัน แต่มันไม่สะเทือน เพราะคนเขาไม่เชื่อ อธิบดีดีเอสไอรับมีคนปองร้าย ตอนสายวันเดียวกัน ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า มีกลุ่มผู้ไม่หวังดีขู่ฆ่าว่า เรื่องนี้เป็นความจริงและรู้สึกกังวลอยู่บ้าง ยอมรับว่ามีความหวั่นเกรง ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น โดยต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยรักษาความปลอดภัย แต่ยืนยันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นคงไม่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว เพราะไม่เคยโกรธเคืองกับใคร อาจเป็นเรื่องของการทำงานโดยตรง มีพฤติการณ์ผิดปกติหลายอย่าง ทั้งการโทรศัพท์ที่โทร.มาข่มขู่ด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย โทร.เข้ามาเบอร์ มือถือและตนรับเอง 2 ครั้ง การดักถ่ายรูปรถยนต์ ถูกขบวนรถติดตามตลอดเส้นทาง นอกจากนี้ยังมีรถยนต์ติดทะเบียนปลอม จอดซุ่มอยู่ในซอยหน้าบ้าน ส่วนจดหมายข่มขู่ก่อนหน้านี้มีส่งมาแล้ว 1 ฉบับ เนื้อหาลักษณะเดียวกันกับจดหมายข่มขู่ที่ใช้ซองตราครุฑส่งมาฉบับล่าสุด เมื่อถามว่า ทราบหรือไม่ว่าเป็นฝีมือของกลุ่มใด นายธาริต กล่าวว่า ไม่ทราบ เจ้าหน้าที่กำลังติดตามสะกดรอยอยู่ ต้องให้หน่วย รปภ.ประกบใกล้ชิด อธิบดีดีเอสไอกล่าวต่อว่า หน่วยการข่าวของดีเอสไอได้ตรวจพบรถยนต์ต้องสงสัยขับผ่านบริเวณหน้าสำนักงานดีเอสไอ โดยสวมป้ายทะเบียนปลอม รวมทั้งพบว่ามีรถยนต์ไปจอดซุ่มอยู่ที่ซอยหน้าบ้านของตน และมีการติดตามการเดินทางในบางครั้ง เรื่องทั้งหมดหน่วยรักษาความปลอดภัยรายงานว่าเป็นสิ่งบอกเหตุถึงความผิดปกติ และต้องเพิ่มการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุดเมื่อถามว่ามีแผนอารักขาเพิ่มอย่างไร นายธาริตกล่าวว่าแผนอารักขามีอยู่หลายอย่าง ขณะนี้มีกำลังทหารมาดูแล ตรวจตรารถเข้าออกตลอด 24 ชั่วโมง มีการเพิ่มกล้องวงจรปิด และมีแผนอื่นๆ ที่เปิดเผยไม่ได้เนื่องจากหน่วยรักษาความปลอดภัยต้องใช้แผนระมัดระวังขั้นสูงสุดสำหรับการอารักขา ตนจะระวังตัวให้มากขึ้น ต้องยอมให้เจ้าหน้าที่อยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา เผยจดหมายขู่ฆ่า "ธาริต" สำหรับเนื้อหาในจดหมายขู่ฆ่าที่นายธาริตนำมาเปิดเผยนั้น ถูกส่งมาจากต้นทางไปรษณีย์ราชดำเนิน ถึงนายธาริตที่สำนักงานอธิบดีดีเอสไอ จดหมายบรรจุใส่ซองสีน้ำตาล มีตราครุฑที่มุมบนซ้าย เป็นซองจดหมายที่ใช้ ทางราชการ ลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2553 เนื้อหาถูกพิมพ์ขึ้นจากคอมพิวเตอร์ มีความยาว 1 หน้ากระดาษเอ 4 เนื้อหาระบุว่า "พวกกูเป็นทั้งสายลับ อดีตสายลับ สายข่าวทหาร ตำรวจฯ ช่วงงานศพอาจารย์ เสธ.แดง พวกกูทั้งหลายได้สาบานว่า...จะขอทำทุกอย่างเพื่อให้มึงและพวกได้ตายตามท่าน เสธ.แดงอย่างน่าเวทนาเป็นที่สุด เริ่มจากคนที่พวกมึงรักก่อน ส่วนมึง...เมื่อไรก็ได้ 10 ปีก็ยังไม่มีคำว่าสาย หากคิดจะแก้แค้นและเอาคืน วิธีฆ่ามึงและพวกนั้นมีมากมายหลายแบบ หากมึงตายโหงขณะมีตำแหน่งติดตัวยิ่งดีมาก ถึงแม้พวกกูจะถูกจับได้ก็ไม่เป็นไร มันจะเป็นประวัติศาสตร์อันล้ำค่า สำหรับการสังหารคนเลวๆอย่างมึง วันนี้ดูอาจจะผิด พรุ่งนี้ก็คงถูกเองแหละ สำหรับพวกกู วันนี้อาจเป็นฆาตกร (ฆ่ามึง) แต่วันหน้า คือวีรบุรุษ (แห่งชาติ)..โว้ย" ปลดล็อก 83 ต้องสงสัยท่อน้ำเลี้ยง ในส่วนการดำเนินคดีก่อการร้ายกับการชี้แจงเรื่องท่อน้ำเลี้ยงนั้น นายธาริตกล่าวว่า กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้ส่งตัวพยานปากสำคัญมาให้ดีเอสไอและสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมกันสอบสวนพยานปากดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 2 ส.ค. และมีความจำเป็นที่จะต้องสอบพยานปากอื่น เพื่อหาข้อมูลเพื่อเติม หากการดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 1-2 วันนี้ ก็จะดำเนินการให้ศาลออกหมายจับต่อไป ส่วนความคืบหน้าการตรวจสอบการทำธุรกรรมการเงิน บุคคลที่ใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเสนอให้ ศอฉ.มีคำสั่งให้สถาบันการเงิน อนุญาตให้บุคคลและนิติบุคคลทั้ง 83 รายชื่อ ทำธุรกรรมทางการเงินได้ตามปกติ เพราะเหตุของการสั่งห้ามการทำธุรกรรมได้หมดไปแล้ว และสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงได้ เสร็จสิ้น รวมทั้งการตรวจสอบได้ดำเนินการครบถ้วนส่วนหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ตาม อาจมีการตรวจสอบการทำธุรกรรมทางการเงินเชิงลึกของผู้ต้องสงสัยบางราย ขณะนี้กำลังดำเนินงานในส่วนนี้ต่อไป ผู้สื่อข่าวถามว่า จะปลดล็อกการทำธุรกรรมทางการเงินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และครอบครัวด้วยหรือไม่ นายธาริต กล่าวว่า ต้องแยกส่วนกันระหว่างการตรวจสอบการทำธุรกรรมในเชิงลึกตามกฎหมายการสอบสวนคดีพิเศษกับการปลดล็อก ให้สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างปกติ ส่วนผลการตรวจสอบธุรกรรมการเงินจะเสร็จในวันที่ 9 ส.ค. ร้องศาลขอปล่อยตัว "ก่อแก้ว" ที่ศาลอาญาวันเดียวกัน นายคำนวณ ชโลปถัมต์ ทนายความ นำคำร้องขอปล่อยตัวนายก่อแก้ว พิกุลทอง ผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย มายื่นต่อศาลขอปล่อยตัวผู้ต้องหา โดยให้เหตุผลว่า ขณะนี้การสอบสวนคดีนี้เสร็จสิ้นแล้ว ผู้ต้องหามีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่คิดหลบหนี และสถาน-การณ์ของประเทศเริ่มคลี่คลายลงแล้ว พร้อมกับยื่นหลัก ทรัพย์เป็นเงินสด 2 ล้านบาท ศาลรับคำร้องไว้พิจารณามีคำสั่งต่อไป นายคำนวณกล่าวว่า เคยยื่นขอประกันตัวมาก่อนแต่ศาลไม่อนุญาต แต่หนนี้ยื่นหลักทรัพย์เพียงสองล้านบาท เนื่องจากถูกตรวจสอบอายัดทรัพย์สินอยู่ ส่วน นพ. เหวง โตจิราการ ทนายความอีกชุดหนึ่งจะเดินทางมายื่นประกันเช่นกัน ทนายทักษิณร้อง อสส. ที่สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด นายธนเดช พ่วงพูล ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางมายื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด หลังถูกพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีความเห็นสั่งฟ้องคดีร่วมกับแกนนำนปช. และแนวร่วม นปช. รวม 25 คน กระทำผิดข้อหาก่อการร้าย และข้อหายุยงส่งเสริม ให้ก่อความไม่สงบและก่อการร้ายในประเทศ โดยมีนายภาณุพงษ์ โชติสิน รองอธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ เป็นตัวแทนรับคำร้อง นายธนเดชกล่าวว่า ที่มายื่นคำร้องเนื่องจากเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะพนักงานสอบสวนดีเอสไอตั้งธงไว้ล่วงหน้าไว้แล้วว่าจะสั่งฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณโดยการนำคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณจากการโฟนอินไปเวทีต่างๆ กับข้อความในทวิตเตอร์มากล่าวหา ซึ่งเป็นการตัดต่อ ไม่มีความชัดเจนที่จะนำมากล่าวหา ทั้งที่ยังไม่มีการสอบสวนโดยชัดแจ้ง จึงจำเป็นต้องขอให้อัยการสอบสวนพยานเพิ่มเติมอีก 6 ประกอบด้วยนักวิชาการ และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย อาทิ นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี นายประเกียรติ นาสิมมา พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก นายชูศักดิ์ ศิรินิล ส่วนการที่มีการกล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณเชื่อมโยงกับแกนนำ นปช.นั้น ความจริงการชุมนุม เป็นเรื่องของกลุ่มแกนนำ ไม่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่การโฟนอินมาที่เวที เป็นการพูดคุยให้กำลังใจ ไม่มีพฤติการณ์ยุยงปลุกปั่นตามที่กล่าวหา ทั้งนี้ หลังจากที่อัยการรับคำร้องไว้แล้ว ก็จะได้ส่งให้นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด พิจารณา ซึ่งหากเห็นว่าคำร้องมีมูล อัยการอาจจะสั่งการให้พนักงานสอบสวนไปทำการสอบสวนเพิ่มเติม หรือเรียกพยานมาซักถาม ก่อนจะเรียกกลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 25 คน มาฟังคำสั่งคดีต่อไป ครม.ถกเครียดข้อเสนอ คอป. อีกด้านหนึ่งในการประชุม ครม. วันเดียวกันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุม ซึ่งมีนายอภิสิทธิ์ เวช-ชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้ใช้เวลาพิจารณาเรื่องที่คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) รายงานความคืบหน้าและข้อเสนอแนะของ คอป. โดยนายกฯได้ซักถามอย่างละเอียดเป็นรายประเด็นทั้ง 5 ข้อ โดยเชิญเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง อาทิ นายชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ก. นายวิทยา สุริยวงศ์ ผู้ช่วยเลขานุการ คอป. โดยข้อที่ 1. เสนอให้ ครม.สั่งการและกำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมาย ให้ใช้กลไกตามกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมตามปกติ ควรใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเท่าที่จำเป็น เพื่อแสดงความจริงใจของรัฐบาลนั้น นายกฯไม่ได้ติดใจซักถาม ราชทัณฑ์ยันใส่ตรวนตามระเบียบ ข้อ 2. ควรปฏิบัติต่อผู้ถูกกล่าวหา โดยคำนึงถึงสิทธิพื้นฐาน ลดการปฏิบัติที่กระทบสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะการใส่โซ่ตรวนแกนนำ นปช. นายกฯได้ซักถามว่า ปกติมีหลักเกณฑ์ปฏิบัติอย่างไร และการที่มีภาพข่าวออกมาถูกต้องหรือไม่ และในกรณีของนายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำ นปช. ที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ทำไมจึงไม่ใส่โซ่ตรวน ถ้าไม่ใส่ตรวนจะได้หรือไม่ นายชาติชายชี้แจงว่า ในประเทศที่เจริญแล้วทั่วไป เช่น สิงคโปร์ก็มีการใส่ตรวน เพียงแต่อาจมีเสื้อแขนยาว แต่ของไทยเป็นชุดเสื้อแขนสั้นเลยมองเห็น ที่มีภาพข่าวปรากฏตามหน้าสื่อออกมา ก็มีกฎระเบียบอยู่ไม่สามารถทำได้ แต่การทำงานข่าวของสื่อมวลชนไทยจะมีการถ่ายภาพกันอย่างนี้ กรณีนายก่อแก้วนั้น เจ้าหน้าที่ได้ตัดสินใจกันนานมากว่าจะให้ใส่ตรวนหรือไม่ เพราะเกรงจะหลบหนี ที่สุดก็ไม่ใส่ตรวน แต่ต้องใช้เจ้าหน้าที่ประกบ 15 นาย ไม่รวมเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบอีกจำนวนมาก การใส่ตรวนปกติจะเลี่ยงจะใช้เฉพาะผู้ต้องขังอายุไม่เกิน 60 ปี และใส่เฉพาะตอนเดินทางออกจากเรือนจำเท่านั้น เป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาตลอดนานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาเข้มข้นตอนนี้ นายกฯจึงสั่งการให้ รมว. ยุติธรรมไปชี้แจงต่อสื่อมวลชนให้ทราบถึงสิทธิมนุษยชนและสิทธิของผู้ต้องขัง ต้องให้ระมัดระวังส่วนนี้ด้วย สั่ง ศอฉ.ทำข้อมูลคนตายติดคุก ข้อ 3. เรื่องการสร้างความเป็นกลางและความน่าเชื่อถือ การลดการแถลงข่าว และการสอบสวนต้องเริ่มด้วยการรวบรวมพยานหลักฐาน ไม่ใช่เริ่มที่การเรียก หรือการขอให้ศาลออกหมายจับ นายกฯได้ถาม พ.ต.อ.ณรัชต์ ซึ่งได้ตอบยืนยันว่าปกติการแถลงข่าวของดีเอสไอ จะยึดหลักคุ้มครองเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนอยู่แล้ว ไม่นำผู้ต้องหามาเปิดเผยตัว ไม่มีลักษณะการนำมาประจาน ยกเว้นกรณีเหตุระเบิดถ้าพูดชื่อเฉยๆ จะถูกกล่าวหาว่ามั่วหรือจับแพะอีก ส่วนเรื่องการสอบสวนพยานหลักฐานการออกหมายจับ ศอฉ.จะส่งข้อมูลมาที่กองปราบปราม รวบรวมข้อมูลส่งศาลพิจารณาออกหมายจับ ไม่ใช่ตั้งข้อหามั่วๆ ข้อ 4. การเปิดเผยข้อมูลผู้เสียชีวิต และผู้ถูกจับกุมคุมขัง นายกฯได้สอบถามว่า รวบรวมเอาไว้ที่หน่วยไหน จะให้หน่วยงานหนึ่งรับผิดชอบข้อมูลทั้งหมด โดยมอบให้ ศอฉ.เป็นผู้รวบรวมข้อมูล และจัดทำเป็นเว็บไซต์ให้ละเอียด และอยากให้เผยแพร่ข้อมูลให้ละเอียดว่าใครถูกจับกุมคุมขังที่ใด เพื่อให้โปร่งใสและเป็นธรรมที่สุด รับสื่อนอกตายปัญหาหนักของไทย ข้อ 5. นายกฯได้สอบถามกรณีที่ญาติผู้สื่อข่าวต่างประเทศ 2 คน ที่มาติดตามเรื่องแต่ถูกดีเอสไอดองเรื่อง ดีเอสไอรายงานว่ากรณีญาตินักข่าวญี่ปุ่นมาติดต่อดีเอสไอถึง 4 ครั้ง แต่ญาติๆ ไม่ได้ติดใจ รู้ว่านักข่าวมีความเสี่ยงสูงต่อการตายหรือบาดเจ็บอยู่แล้ว แต่ยังติดใจว่าใครเป็นคนยิง ใครก่อเหตุ ซึ่งดีเอสไอยืนยันไม่ใช่การตายคนเดียว แต่ตายพร้อมกับเจ้าหน้าที่และประชาชนอีกมากมายจากเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่การพิสูจน์หลักฐานการตาย ไม่ได้พิสูจน์ในที่เกิดเหตุที่นอนตาย แต่ถูกดึงมาที่โรงพยาบาล จึงลำบากมาก หนักที่สุดจะพิสูจน์ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง การตายของนักข่าวญี่ปุ่น 2 คนนี้จะเป็นปัญหาหนักของประเทศไทยที่จะต้องชี้แจง นายกฯได้กล่าวว่า มีคนเอาเรื่องการตายของนักข่าวต่างประเทศ 2 คนนี้ไปขยายผลในต่างประเทศด้วย ชี้กลุ่มป่วนจ้องยกระดับรุนแรง ส่วนที่ทำเนียบรัฐบาล นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวฝ่ายความมั่นคง รายงานการเกิดเหตุก่อความรุนแรงในพื้นที่สำคัญทางธุรกิจว่า ขณะนี้หน่วยงานด้านความมั่นคงได้เฝ้าระวังสถานการณ์ เนื่องจากมีกลุ่มที่จ้องทำร้ายประชาชนในที่สาธารณะ เพราะขณะนี้การดำเนินคดีความคืบหน้าไปมาก ทำให้หลายคนรู้สึกกังวลใจ หากคดีเหล่านี้ไม่ออกมาในทิศทางที่เขาต้องการ ทำให้เห็นความพยายามในการสร้างสถานการณ์ โดยหลังจากนี้ฝ่ายความมั่นคงประเมินว่า มีความเป็นไปได้ที่ผู้ก่อความไม่สงบจะปรับวิธีการก่อเหตุ จากการสร้างสถานการณ์เพื่อข่มขวัญเจ้าหน้าที่ เป็นการก่อเหตุเพื่อมุ่งสังหารและทำร้ายประชาชน และวิธีการทำระเบิดก็มีความซับซ้อนมากขึ้น หลายกรณีพบว่ามีผู้เชี่ยวชาญและผู้รู้พื้นที่ เข้าร่วมกระบวนการ เช่น การวางระเบิดห้างบิ๊กซี ราชดำริ เป็นจุดที่กล้องวงจรปิดมีน้อย เพราะกล้องบางตัวเสีย มีแต่กล้องของเอกชน ปูดเตรียมคาร์บอมบ์ย่านธุรกิจ นายปณิธานกล่าวว่า หน่วยงานด้านการข่าวได้ เตือนให้ระวังเหตุระเบิดในลักษณะอื่น เช่น คาร์บอมบ์ เพราะเมื่อวัตถุประสงค์เปลี่ยนไปเป็นการสังหารบุคคล ก็ต้องมีความรุนแรงมากขึ้น หลังจากนี้ต้องเฝ้าระวัง แต่ไม่ อาจระบุสถานที่แน่ชัดได้ แต่พื้นที่ที่มีการพูดถึงกันมากคือพื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวสูงในอดีต เช่น ราชประสงค์ ราชปรารภ สีลม สวนลุมพินี รวมถึงสิ่งปลูกสร้างของรัฐ สถานที่เชิงสัญลักษณ์ ทั้งนี้ ไม่อยากให้เกิดความตื่นตระหนก แต่เมื่อฝ่ายตรงข้ามมีการยกระดับก็ต้องเตือนให้ประชาชนระวัง โดยในพื้นที่เสี่ยงย่านธุรกิจจะมีการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเช่น เพิ่มด่านตรวจสกัด ตำรวจนอกเครื่องแบบ และหน่วยงานด้านการข่าวต้องหาข่าวมากขึ้น ส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งเชื่อมโยงเครือข่ายจากการให้การของผู้ต้องหา เมื่อถามว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มเดิมที่เคยก่อเหตุความไม่สงบหรือไม่ นายปณิธานกล่าวว่า มีคนที่กำลังติดตามอยู่ เป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อถามว่าเป็นคนแก่ตามที่ ผบช.น.ระบุหรือไม่ นายปณิธานกล่าวว่า ก็มีหลายระดับ ซึ่งบุคคลที่อยู่ในระดับปฏิบัติการจะเป็นคนอายุไม่มาก ส่วนคนวางแผนก็เป็นอีกระดับหนึ่ง ยธ.เร่งศึกษาเปลี่ยนวิธีใช้โซ่ตรวน นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะกรรมการ คอป. กล่าวว่าที่ คอป.เสนอให้ยกเลิกการตีตรวนผู้ต้องขัง เพราะต้องการสร้างบรรยากาศความปรองดองและสมานฉันท์ในสังคม ได้กำชับกรมราชทัณฑ์ไปแล้วว่า การดำเนินการต่างๆ ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ไม่กระทบสิทธิผู้ต้องขัง ส่วนที่มีข่าวว่า จะมีการใช้กำไลอิเล็กทรอนิกส์มาใช้แทนโซ่ตรวนพันธนาการผู้ต้องขังนั้น ได้สั่งการให้กรมราชทัณฑ์ไปศึกษารายละเอียดให้เสร็จภายใน 1 เดือน ว่าจะใช้วัสดุอื่นมาใช้แทนได้หรือไม่ เช่นต่างประเทศมีการใช้พลาสติก เข็มขัด กุญแจมือ ผู้สื่อข่าวถามว่าใน 1 เดือนหลังจากนี้ จะไม่ใช้โซ่ตรวนใช่หรือไม่ นายกิตติพงษ์กล่าวว่า คงพูดเช่นนั้นไม่ได้ ยืนยันว่าการพันธนาการจำเป็นต้องทำ เพื่อป้องกันการหลบหนีของผู้ต้องขัง หรือไปทำร้ายผู้อื่น การเปลี่ยนระบบพันธนาการต้องไปศึกษาประเภท ลักษณะเครื่องมือ และดูค่าใช้จ่าย ความคุ้มทุนทั้งหมด แต่ถือเป็นสิ่งที่ต้องทำ เพื่อหาทางเลือกอื่นนอกจากการตีตรวน ห่วง "ธาริต" โดนลอบปองร้าย นายกิตติพงษ์ยังกล่าวถึงกรณีนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตกเป็นเป้าลอบสังหารว่า ได้แสดงความห่วงใยไปที่นายธาริตแล้วว่า สถานการณ์เช่นนี้ต้องไม่ประมาท ทำงานรอบคอบ รัดกุม แต่ยืนยันไม่มีแนวคิดให้คนอื่นเข้ามาช่วยงาน หรือทำงานแทนนาย ธาริต เพราะทำงานได้ดีอยู่แล้ว พท.ต้าน ศอฉ.แจกวีซีดีสลายชุมนุม ขณะที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ ศอฉ.จะแจกจ่ายวีซีดีบันทึกเหตุการณ์ สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงว่า พรรคยังไม่ได้เห็นวีซีดีที่จะมีการแจกจ่าย แต่เชื่อได้ว่าภาพที่ออกมาน่าจะเป็นภาพ ที่รัฐบาลแปลความหมายว่ารัฐบาลกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง และฝ่ายคนเสื้อแดงเป็นคนผิด วีซีดีที่ทำกันเอง ใช้กันเอง และกล่าวหากันเองนั้น ไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดความสมานฉันท์ มีคำถามว่า หากรัฐบาลจริงใจที่จะแจกวีซีดีบันทึกเหตุการณ์ จริง เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ ทำไมไม่ให้คณะกรรมการอิสระต่างๆที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาเป็นผู้ดำเนินการ และต้องถามว่า หากพรรคเพื่อไทยแจกจ่ายวีซีดีบ้าง จะผิด พ.ร.ก. ฉุกเฉินหรือไม่ ผู้ค้าราชประสงค์จี้รัฐจ่ายเงินชดเชย นอกจากนี้ในวันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล กลุ่ม พ่อค้าหาบเร่แผงลอย บริเวณหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ราชประสงค์ ประมาณ 40 คน ที่ได้รับผลกระทบจากการ ชุมนุมทางการเมือง นำโดยนายสุรักษ์ สุยะราช ผู้ค้าย่าน ราชประสงค์ ยื่นหนังสือถึงสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งรัดให้ความช่วยเหลือเรื่องค่าชดเชย เพราะปัจจุบันยังมีผู้ค้าอีกนับร้อยรายที่พื้นที่ค้าขาย แผงค้า และอุปกรณ์ทำมาค้าขายได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ ชุมนุมทางการเมือง แต่ยังไม่ได้รับค่าชดเชยจากรัฐบาล และยังต้องขาดรายได้จากการทำมาหากิน เพราะนับตั้งแต่ มีการชุมนุมทางการเมืองจนถึงปัจจุบัน จำนวนผู้ซื้อบางตา ลงไปมาก ทั้งยังมีเหตุการณ์ระเบิดหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ราชดำริ มาซ้ำเติมอีก แม้กลุ่มผู้ค้ายื่นคำร้อง ขอความช่วยเหลือต่อ ศอฉ.ตั้งแต่เดือน พ.ค.2553 แต่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือ นอกจากนี้ ผู้ค้ายังถูกเทศกิจเก็บค่าเช่าที่อีก ทั้งที่รัฐบาลบอกว่าจะไม่เก็บค่าเช่าที่เป็นเวลา 6 เดือน จึงเรียกร้องขอให้รัฐบาลเร่งช่วยเหลือเป็นการด่วน ประชุมควานหามือระเบิดบิ๊กซี ที่ บช.น. ช่วงบ่าย พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ พล.ต.ต. บุญส่ง พานิชอัตรา รอง ผบช.น. พร้อมพนักงานสอบสวนบช.น. ร่วมประชุมติดตามความคืบหน้า เหตุระเบิดห้างบิ๊กซี ราชดำริ และหน้าบริษัทคิง เพาเวอร์ ถนนรางน้ำ โดย ชุดสืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดีระเบิดเตรียมพนักงานสอบสวน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส. บันทึกและสอบถาม ข้อมูล ผู้ที่ได้ออกหมายเรียกเชิญมาให้ข้อมูลคดีระเบิด เพื่อเป็นประโยชน์เกี่ยวกับคดี มีรายงานว่าพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกเชิญมาทั้งหมด 10 คน แต่ผู้ที่ตอบรับว่า จะเดินทางเข้ามาให้ข้อมูลมี 8 คน 8 อรหันต์เข้าให้ปากคำ มีรายงานว่า ผู้ที่ร่วมมือได้เข้าให้ข้อมูลกับชุดสืบ สวนสอบสวน ได้แก่ 1.พ.อ.สุรพล สุประดิษฐ์ หรือ เสธ.ตี๋ นายทหารประจำ กอ.รมน. อยู่ระหว่างพักราชการ 2.พ.อ.มนัส สุขประเสริฐ นายทหารรักษาความปลอดภัย กอ.รมน. ทั้งคู่เป็นนายทหารคนสนิท ของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี นายทหารนอกราชการ อดีตรอง ผอ.กอ.รมน และเคยเกี่ยวกับคดีระเบิดคาร์บอมบ์อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ท้องที่ สน. บางพลัด 3.พ.จ.อ.บรรชา ทองแสง หรือจ่าโบ้ 4.พ.จ.อ.การุณ ชินวิชา หรือจ่าอ๋อง ทั้งคู่เป็นลูกน้องคู่ใจของเสธ.ตี๋ 5.นายรังสกฤษฏิ์ ธิยาโน หรือเสธ.ไก่ ลูกน้องคนสนิทของ ร.อ.ธรรม-นัส พรหมเผ่า หรือผู้กองมนัส 6.นายปัญญา คุณธีระนันท์ ลูกน้องของ เสธ.แดง หรือพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล 7.จ.ส.อ. บัวผัน พิมพ์ชัยศรี อดีตทหารสังกัด ร.1 พัน. 1 รอ. ซึ่งได้ขอเกษียณราชการก่อนกำหนด มีรายงานว่า จ.ส.อ.บัวผัน เคยเป็นผู้ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่าอาจจะเกี่ยวข้อง กับคดีเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดระเบิดหลายรายการ ที่พบในรถเก๋งฮอนด้า ซีวิค จอดไว้ที่ริมน้ำ อพาร์ตเมนต์ และวงจรระเบิดตรงกับหน้าห้างบิ๊กซี ราชดำริ โดยตรวจสอบที่เขี่ยบุหรี่ พบเบอร์โทรศัพท์ทิ้งไว้ในรถ ชื่อนายผัน ไม่ทราบนามสกุล โดย ผบช.น. เคยแถลงข่าว คาดว่าเป็นคนในเครื่องแบบ และ 8.นายกฤษฏากร ธิบดี เสธ.ไก่-เสธ.ตี๋ปฏิเสธไม่เกี่ยว กระทั่ง เวลา 17.00 น. นายรังกฤษฏิ์ หรือเสธ.ไก่ ได้ให้ข้อมูลเสร็จสิ้นและเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวก่อนเดินทางกลับว่า ตนไม่ได้พัวพันเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นทั้งสองเหตุ ตำรวจเชิญมาเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์ ตนแค่รู้จักแต่ไม่สนิทกับ เสธ.แดง ไม่เคยคบกันเป็นการส่วนตัวและยินดีให้ข้อมูลตำรวจทุกอย่าง จากนั้น พ.อ.สุรพล หรือเสธ.ตี๋ ได้เปิดเผยหลังให้ข้อมูลเสร็จว่า ตำรวจสอบถามรายละเอียดทั่วๆไป ที่เชิญมาเพื่อหารือ ตนตอบเท่าที่ตอบได้ ให้จับตา "คนแก่" จะปรากฏตัว พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. กล่าวถึงกรณีการเชิญบุคคลประมาณ 40 คน มาสอบสวนว่า การทำงานของตำรวจนั้นประกอบด้วยหลายส่วน ทั้งการสืบสวนสอบสวน เราประชุมหารือกันแล้วก็ดูว่า ควรจะเชิญใครบ้างมาพูดคุย เพื่อเกิดประโยชน์ทางคดี บางท่านแสดงความบริสุทธิ์ใจโดยให้พิมพ์ลายนิ้วมือไว้ ต้องยอมรับว่าขบวนการในการประกอบวัตถุระเบิดมันยากกว่าคดีเหตุปล้นทรัพย์ เพราะร่องรอยมันหายาก การตามร่องรอยต้องค่อยๆ ตามไป ใช้นิติวิทยาศาสตร์ ผู้ที่เชิญมาไม่ได้ หมายความว่าเป็นผู้ต้องหาทั้งหมด บางคนก็อาจเป็นผู้รู้เรื่องราวดี บางคนก็อยู่ในกลุ่มที่ต้องจับตามอง หรือบางกลุ่มอยู่ในผู้กว้างขวางอย่างที่ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ที่ปรึกษา (สบ 10) กล่าวไว้ว่า เป็นการสืบสวนตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติที่แท้จริงไม่ใช่อย่างอื่น เมื่อถามต่อว่า บริเวณย่านเศรษฐ-กิจจะมีการเฝ้าระวังหรือไม่ หลังมีกระแสข่าวจะมีคาร์บอมบ์ ผบช.น.กล่าวว่า ตอนนี้เจ้าหน้าที่ก็เฝ้าและดำเนินการอย่างเต็มที่ ผกก.ทุกแห่งต้องตื่นตัวตลอด ต้องดูแลโรงพักตัวเองด้วย เพราะบางทีพวกจิตป่วนก็วางระเบิดแถวโรงพัก ต้องระวังให้ดี ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าคนแก่ที่ ผบช.น. เคยพูดถึงอายุเท่าไร พล.ต.ท.สัณฐานกล่าวว่า อีกไม่นานเขาก็จะปรากฏตัว ศอฉ.ผวาสิงหาฯเดือดสั่งคุมเข้ม เวลา 18.00 น. ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.ต.ต. ปิยะ อุทาโย รองโฆษก ศอฉ. แถลงผลการประชุม ศอฉ. ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะ ผอ.ศอฉ. เป็นประธานว่า ฝ่ายข่าวได้ รายงานสถานการณ์ในรอบเดือน ส.ค.นี้ว่า จะมีการรวมตัวกันในบางพื้นที่ และมีการจัดกิจกรรมเพิ่มมากขึ้นจากหลายกลุ่ม เช่น ทำบุญ เสวนา รวมถึงกลุ่มในพื้นที่ต่างจังหวัดที่มีการแสดงความคิดเห็นมากขึ้น และในกรุงเทพฯ จะมีการเลือกตั้งท้องถิ่น จึงต้องระวังเป็นพิเศษ ดังนั้น สิ่งที่ควรระวังคือการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ ต้องเน้นการป้องกันการก่อวินาศกรรมเป็นหลัก เพราะตลอดเดือน ส.ค. จะมีงานพระราชพิธีที่สำคัญ จึงต้องเน้นดูแลรักษาความสงบเป็นพิเศษ นายสุเทพแสดงความเป็นห่วงว่า จะช่วยกันดูแลพื้นที่ต่างๆอย่างไร เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุก่อความวุ่นวาย ทั้งนี้ ตำรวจได้สรุปว่า เหตุการณ์ ที่ผ่านมาโดยเฉพาะ 2 คดีหลัง มีแนวโน้มสูงที่จะเป็นการสร้างสถานการณ์ นอกจากนี้ จะมีการเพิ่มจุดตรวจ 26 จุด โดยให้สารวัตรทหารร่วมปฏิบัติกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เน้นบริเวณที่มีประชาชนพลุกพล่าน สถานที่ท่องเที่ยว แหล่งชุมชน และเพิ่มเจ้าหน้าที่ตรวจวัตถุระเบิดทั้งตำรวจและทหารลงไปในพื้นที่ล่อแหลม เช่น บริเวณแยกราชประสงค์โดยรอบ แยกลาดพร้าว เปลี่ยนถังขยะเป็นแบบโปร่งใส พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า นอกจากนี้ ศอฉ.เน้นย้ำให้มุ่งเน้นในพื้นที่สำคัญ เชิงสัญลักษณ์ทางการเมือง ทางราชการเป็นกรณีพิเศษ นอกเหนือจากบุคคลสำคัญที่ต้องดูแลอยู่แล้ว และยังให้ประสานกับ กทม.ให้มีการปรับเปลี่ยนถังขยะที่มีลักษณะโปร่งใส และเพิ่มรอบการเก็บขยะให้บ่อยขึ้น เพื่อป้องกันการก่อเหตุ รวมทั้งเพิ่มกล้องซีซีทีวี ทั้งตามร้านสะดวกซื้อ ธนาคาร ปั๊มน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า และบ้านเรือนประชาชน รวมทั้งมอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ความรู้พนักงานเก็บขยะถึงการสังเกตวัตถุต้องสงสัย โดย ศอฉ.จะเชิญผู้นำชุมชนมาให้ความรู้ เพื่อช่วยสอดส่องดูแลด้วย คาดว่าในเดือน ส.ค.นี้ น่าจะมีแนวโน้มการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนที่ไม่หวังดี นอกจากนี้ผบก.น.5 ได้ชี้แจงที่ประชุมถึงเหตุระเบิดที่ห้างบิ๊กซี ราชดำริ และซอยรางน้ำ ทั้ง 2 คดีมีความคืบหน้ามาก และมีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ ที่เกิดก่อนหน้านี้ โดย ผอ.ศอฉ.ได้สั่งการให้ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ. สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. ประสานการปฏิบัติและรวบรวมหลักฐาน เพื่อให้การดำเนินการชัดเจนมากขึ้น โดยอธิบดีกรมสอบสวนคดี พิเศษได้รับดำเนินการและประสานกันอย่างใกล้ชิด ดีเอสไอชงปลดล็อก 83 ท่อเลี้ยงแดง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุม ศอฉ. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ได้เสนอให้ยกเลิกข้อห้ามการทำ ธุรกรรมการเงินฯของผู้อยู่ในข่ายมีส่วนเกี่ยวข้องกับการ สนับสนุนการเงิน แก่ผู้ก่อการร้ายทั้ง 83 ราย โดยให้ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบสถานการณ์ ลงนามในคำสั่งแล้ว โดยทั้ง 83 ราย ประกอบด้วย 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่ตรวจสอบแล้วไม่พบอะไร กลุ่มที่ชี้แจงที่มาของเงินไม่ได้ และกลุ่มที่ชี้แจงไม่ชัดเจน ซึ่งการยกเลิกข้อห้ามดังกล่าวเนื่องจากมีการตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้ว และไม่ต้องการให้เห็นว่า ศอฉ.ใช้อำนาจเกินกว่าเหตุ ซึ่งทั้ง 83 ราย ยังคงต้องดำเนินการทำธุรกรรมภายใต้การเฝ้าตรวจจากสถาบันการเงินที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อไป ส่วนผลการตรวจสอบที่ดีเอสไอได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว หากรายใดพบหลักฐานการกระทำผิด ก็จะเข้าสู่กระบวนการการดำเนินคดีตามกฎหมาย บุกรวบเฒ่า 60 หมิ่นเบื้องสูง เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 3 ส.ค. พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ก. พล.ต.ต.สุรพล หอมชื่นชม ผบก.ปอท. พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาท รรท.ผบก.ป. พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1 บก.ป. พ.ต.อ.ศิร์ธัชเขต ครูวัฒนเศรษฐ์ ผกก.สภ.สำโรงเหนือ จ.สมุทรปราการ นำหมายศาลอาญาเข้าตรวจค้นบ้านเช่าไม่มีเลขที่ภายในซอยด่านสำโรง 17/1 หมู่ 4 ต.สำโรงเหนือ อ.เมืองสมุทรปราการ จับกุมนายอำพล ตั้งนพกุล อายุ 60 ปี บ้านเดิมอยู่เลขที่ 52 หมู่ 1 ต.คลองสวน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูง โดยใช้วิธีการส่งข้อความ (เอสเอ็มเอส) ผ่านโทรศัพท์มือถือไปยังนายกรัฐมนตรีและบุคคลสำคัญในรัฐบาล ระหว่างวันที่ 9-12 พ.ค.รวม 4 ครั้ง พร้อมทั้งตรวจยึดโทรศัพท์มือถือได้ 3 เครื่อง เบื้องต้นนายอำพลยังไม่ยอมให้การใดๆ จึงส่งมอบให้ บก.ปอท.ไปดำเนินการสอบขยายผล ถึงผู้บงการที่นำเบอร์โทรศัพท์มือถือ ของนายกฯและคณะรัฐมนตรีมามอบให้กับนายอำพล รวมทั้งมีคำสั่งห้ามประกันตัวนายอำพลในชั้นสอบสวนเนื่องจากเป็นคดีที่มีโทษสูง นสพ.ไทยรัฐ โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 4 สิงหาคม 2553, 01:44 น. tags: ,ชง83ท่อน้ำเลี้ยง,ปลดล็อก,ศอฉ.ยังคุมเข้มต่อ,

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น